เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนก็เริ่มลดลง ทำให้ผิวขาดความกระชับ เกิดริ้วรอย และหย่อนคล้อยไปในที่สุด ปัจจุบันต้องยอมรับเลยว่าเทคโนโลยีหัตถการความงามได้ก้าวกระโดดไปไกลมาก โดยเฉพาะหัตถการยกกระชับใบหน้า ที่ไม่ต้องทำการผ่าตัด ใบหน้าก็สามารถกลับมาเต่งตึง และมีกรอบหน้าชัด ๆ ได้อีกครั้ง
ทางลัดไปอ่านหัวข้อที่สนใจกันเลย
แนะนำ 6 หัตถการกระชับใบหน้า วิธีไหนจะแก้ปัญหาผิวได้ตรงจุดที่สุด
สำหรับสาว ๆ ที่กำลังประสบปัญหาริ้วรอย ผิวไม่เต่งตึงต้องการกระชับผิว ให้ผิวดูเรียบเนียน อิ่มฟูยิ่งขึ้น ด้วยวิธีที่เห็นผลลัพธ์สุดจึ้ง แต่ด้วยความที่หัตถการก็มีให้เลือกเยอะมากกก จนเลือกไม่ถูกเลย และกำลังลังเลอยู่ว่าจะทำหัตถการแบบไหนดี ถึงจะตรงจุดกับปัญหาของคุณมากที่สุด
วันนี้ ChoiceChecker จะพาไปดูถึงความแตกต่างของ 6 หัตถการยกกระชับผิวสุดฮิต ว่าแต่ละแบบมีจุดเด่น และเทคโนโลยีเขาเป็นแบบไหนกันบ้าง? มาดูกันเลย
สำหรับหัตถการตัวแรกที่อยากแนะนำ ชอยซ์ขอยกให้หัตถการตัวมัมตัวแม่นี่เลย เทคโนโลยียกกระชับผิว Ulthera จะใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ยิงเข้าสู่ผิวให้ภายในชั้นผิวเกิดความร้อนประมาณ 60-70°C เพื่อกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน และสามารถยกกระชับผิวโดยลงลึกไปถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อพังผืดห่อหุ้มกล้ามเนื้อ หรือชั้นผิวหนังที่คุณหมอใช้ผ่าตัดศัลยกรรมดึงใบหน้านั้นเอง
จุดเด่น :
- เห็นผลทันทีหลังทำถึง 30% โดยที่ไม่ต้องพักฟื้น
- ให้พลังงานสูง และมีความเสถียร Ulthera จึงสามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอย แก้มห้อยได้ดี เห็นผลลัพธ์ชัดเจน
- ช่วยยกกระชับ กรอบหน้า ทำให้หน้าเรียวสวยเข้ารูปยิ่งขึ้น
- ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวกลับมาแข็งแรง เต่งตึงอีกครั้ง
- ไม่ทำลายชั้นผิว ไม่ทำให้เกิดแผล และไม่ต้องพักฟื้นหลังทำเลย
เหมาะกับใคร :
- สามารถทำได้ตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีความกังวลเรื่องความหย่อนคล้อย ริ้วรอยบนใบหน้า
- คนที่ต้องการยกกระชับหน้า ให้กรอบหน้าชัด และยกหางตาให้สวยคมยิ่งขึ้น
ความถี่ในการทำ : ผลจากการทำ Ulthera 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 1 ปี (ทำซ้ำได้ปีละ 1 ครั้ง)
ข้อจำกัด :
- ราคาในการทำแต่ละครั้งค่อนข้างสูง
- ขอบอกเลยว่าการทำ Ulthera ก็มีความเจ็บอยู่นะ แต่ไม่ต้องกังวลใจไป จะมีการฉีดยาชาก่อนทำหัตถการอยู่แล้ว ความเจ็บก็จะอยู่ในระดับพอทนได้ แต่อย่างว่าผลลัพธ์มันก็จึ้งใจ ดังนั้นหากอยากสวยก็เลยต้องอดทนเนอะสาว ๆ
- อาจจะมีอาการบวมเล็กน้อย และรอยแดงหลังทำ
สำหรับสาว ๆ คนไหนที่อยากยกกระชับหน้า แต่ใจไม่สู้กับความเจ็บของ Ulthera ก็หนีมาซบอกคุณ Ultraformer MPT ได้นะ ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์แบบ MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound) ยิงเข้าสู่ผิวหนัง ซึ่งจะช่วยสลายไขมัน และการยกกระชับเช่นกัน ตัวเครื่องจะมีความถี่ของพลังงานที่สูงเอาเรื่อง ลงลึกไปถึงชั้นผิวหนัง SMAS
จุดเด่น :
- ลดความหย่อนคล้อย กระชับผิวหนัง
- หัวที่ยิงได้ถูกพัฒนาให้ทั้งยกกระชับ สลายไขมัน และบำรุงผิวไปในตัว โดยยิงคลื่นพลังงานลงสู่ผิวลึกถึง 2 ระดับ คือ Micro และ Macro ครอบคลุมปัญหาผิวทั้งชั้นตื้น และลึกเลย
- ปลอดภัย ไม่ทำร้ายชั้นผิวหนัง
- หลังทำเสร็จไม่ต้องพักฟื้นเลย
- เจ็บน้อยกว่า และราคาน่ารักกว่า Ulthera
เหมาะกับใคร :
- ผู้ที่มีรอยเหี่ยวย่น แก้มห้อย หน้าไม่กระชับ ผิวหนังไม่เต่งตึง
- ผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าไม่ชัด หน้าไม่เรียว และมีเหนียง
- เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ไม่อยากทนกับความเจ็บของ Ulthera
ความถี่ในการทำ : ผลจากการทำ 1 ครั้ง อยู่ได้นาน 6 เดือน - 1 ปี (ขึ้นอยู่กับจำนวน Shot ที่ยิงในแต่ละครั้ง) ทำซ้ำได้ทุก ๆ 6 เดือน
ข้อจำกัด :
- ระดับความแม่นยำให้การยิงลงสู่ผิว ไม่สู้ Ulthera
- ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่ยาวนานเท่า Ulthera
- จะเห็นผลหลังทำทันทีประมาณ 20% แล้วต้องรอเวลาให้ผิวค่อย ๆ ฟื้นฟูดีขึ้น จะเห็นผลเต็มที่หลังทำ 2-3 เดือน
- ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยเยอะ ๆ
สำหรับ HIFU เป็นตัวช่วยเรื่องกระชับใบหน้า และปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น โดยอาศัยเทคโนโลยี High Intensity Focus Ultrasound ใช้การส่งคลื่นอัลตราซาวนด์ไปยังใต้ผิวหนังชั้น SMAS โดยจะกระตุ้นให้ผิวเกิดการหดตัว และสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ผิวจึงกระชับเต่งตึงขึ้น หลักการคล้ายคลึงกันกับ Ultraformer MPT เลย
จุดเด่น :
- มีความปลอดภัยสูง ยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
- ไม่มีรอยแดง บวมหลังทำ
- ช่วยลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ และช่วยสลายไขมันในบางส่วน
- ราคาย่อมเยากว่าทั้งสองหัตถการข้างต้นที่กล่าวมาเลย
- ทำซ้ำได้อย่างปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง
เหมาะกับใคร :
- ผู้ที่มีริ้วรอยน้อย ๆ ร่องใต้ตา ร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก
- คนที่ต้องการกระชับผิวโดยไม่ผ่าตัด ไม่ใช้การฉีดสารเติมเต็มใด ๆ
- ผู้ที่ต้องใช้ใบหน้าหลังทำทันที ไม่มีเวลาพักฟื้น
ความถี่ในการทำ : เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทำเพิ่มได้หลังทำครั้งแรกอย่างน้อย 3 เดือน แล้วค่อยทำครั้งต่อไปหลังจากผ่านไป 6 เดือน
ข้อจำกัด :
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเยอะ หรือมีร่องลึก
- อาจต้องทำซ้ำ ๆ หลายครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์ความกระชับให้อยู่ไปเรื่อย ๆ
สำหรับ Thermage เป็นการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ผ่านการรับรองโดย US FDA ใช้การส่งพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ ทำให้เกิดความร้อนในชั้นใต้ผิว เพื่อให้ชั้นผิวหดตัว ยกกระชับขึ้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยคลื่นความถี่สูงนี้จะสามารถลงลึกไปยัง 3 ชั้นผิว คือ ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ผิว
จุดเด่น :
- หลังทำเสร็จเห็นผลยกกระชับทันที 20 % หากผ่านไป 2 - 3 เดือน ก็จะยิ่งเห็นผลชัดขึ้น
- หลังทำไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
- จัดการปัญหาผิวได้ครอบคลุมทั้งชั้นผิวหนังแท้ และชั้นไขมัน เหมาะกับคนที่มีปัญหาแก้มหรือเหนียงเยอะ
- ช่วยสลายไขมันได้ทั้งผิวหน้า และผิวกาย
เหมาะกับใคร :
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
- ผู้ที่มีเนื้อแก้มเยอะ และมีไขมันใต้คาง หรือเหนียงปริมาณมาก
- ผู้ที่มีกรอบหน้าไม่ชัด ที่ต้องการให้ใบหน้าเรียวเล็กยิ่งขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาเซลลูไลท์ ทั้งบริเวณต้นขาและต้นแขน
ความถี่ในการทำ : ผลลัพธ์หลังทำสามารถอยู่ได้นานถึง 1 ปี (แนะนำให้ทำซ้ำปีละ 1 ครั้ง)
ข้อจำกัด :
- คุณแม่มือใหม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรทำ Thermage
- คนที่ติดเครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ หรือมีอวัยวะเทียมกลุ่มโลหะ ไม่ควรทำหัตถการนี้
- ไม่สามารถช่วยยกกระชับผิวได้เทียบเท่ากับการผ่าตัดยกกระชับ
สายนวัตกรรมความงาม ตัวไหนเด็ด ตัวไหนดี ไม่เคยพลาด ต้องลองง Emface แล้วจะติดใจ เพราะ Emface เป็นหัตถการยกกระชับกล้ามเนื้อ ที่ผสานเทคโนโลยีทั้ง 2 อย่างสุดเริ่ด มารวมตัวกันบูสต์พลังความงามแบบ x2 ด้วย
- HIFES (High Intensity Focused Electromagnetic) พลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อเฉพาะมัดที่ยกใบหน้า เสมือนการออกกำลังกาย มัดกล้ามเนื้อก็จะแข็งแรง และหดกระชับขึ้น
- Synchronized RF คลื่นพลังงานวิทยุที่จะถูกส่งไปพร้อมกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ให้ผิวมีความเรียบเนียน อิ่มฟูยิ่งขึ้น
จุดเด่น :
- กระตุ้นการทำงานของผิวได้ทุกชั้น ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีทั้ง 2 แบบ
- ให้ผลลัพธ์ยกกระชับใบหน้าได้ในระยะยาว
- ยกกระชับผิวได้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ (ซึ่งลึกกว่าชั้น SMAS)
- ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น
- ช่วยจัดการกับปัญหาความหย่อนคล้อย ผิวไม่เต่งตึง ได้ทุกชั้นผิว
เหมาะกับ :
- ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ไม่เต่งตึง และผู้ที่ดื้อโบท็อก ฉีดโบแล้วไม่ตึง ต้องหนีมาพักใจด้วย Emface เลย
- ผู้ที่อยากหน้าเด็ก ชะลอวัย แต่ไม่ต้องการศัลยกรรมดึงหน้า
- ผู้ที่ต้องการผิวกระชับบริเวณ คิ้ว หางตา และหน้าผาก
ความถี่ในการทำ : ควรทำติดต่อกัน 4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ซึ่งผลลัพธ์จะอยู่นานถึง 1 ปี หลังจากนั้นค่อยกลับมาทำซ้ำ
ข้อจำกัด :
- มีอาการบวม แดง เล็กน้อยหลังทำ
- กลุ่มโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่ควรทำหัตถการนี้
- สตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรงดการทำหัตถการนี้ก่อน
- อาจเกิดการเสียวฟันชั่วคราว และหายได้เอง
สำหรับ Morpheus8 จะใช้เทคโนโลยี RF (Radio Frequency) ซึ่งพลังงานคลื่นความถี่วิทยุนี้จะทำให้เกิดความร้อนเหมือน Thermage แต่สามารถเลือกชั้นผิวที่จะปล่อยพลังงานได้เหมือน Ulthera ซึ่งตัวความร้อนจะลงลึกไปถึงชั้นหนังแท้ และไขมันใต้ผิวหนังนั้นเอง ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน พร้อมยกกระชับผิวได้ดี
จุดเด่น :
- มีความลึกของพลังงานให้เลือกสูงสุดถึง 7 mm. สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดการเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนในชั้นผิว และลงไปถึงชั้นไขมัน ช่วยให้ผิวกระชับยิ่งขึ้น
- เป็นเทคโนโลยีเดียวที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างกรดไฮยาลูรอนิคใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวอิ่มฟู ฉ่ำวาว แบบสาวเกาหลียิ่งขึ้น
เหมาะกับ :
- ผู้ที่มีริ้วรอยบนใบหน้าและลำตัวค่อนข้างมาก
- ริ้วรอยยับมากก็เอาอยู่ เช่น รอยยับบนใบหน้า หลังมือ หัวเข่า รักแร้ หรือบริเวณลำตัว เรียกได้ว่าสามารถทำได้ทุกส่วนบนร่างกาย
- ผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ชั้นผิวเยอะ
- ผู้ที่มีรอยสิว รอยแผลเป็น รอยแผลผ่าตัด
ความถี่ในการทำ : หลังจากทำจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่ 3 เดือน และผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้ 6 เดือน - 1 ปี
ข้อจำกัด :
- ผู้ที่ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจไม่สามารถทำหัตถการนี้ได้ เพราะคลื่นวิทยุอาจเข้าไปรบกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจ
- ไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ไม่เหมาะกับผู้มีภาวะผิวไวต่อความร้อน
- ราคาค่อนข้างแรงเลยทีเดียว

ทั้งหมด 6 หัตถการที่ ChoiceChecker ได้แนะนำมานั้น แต่ละตัวมีความโดดเด่นของเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน จะเลือกหัตถการไหนดีนั้น ควรขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละคน และจุดประสงค์ที่ต้องการแก้ไข แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ก็ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ในกระเป๋าด้วยนั่นเอง
หากมีปัญหาผิวไม่มาก ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่แอดวานซ์จนต้องจ่ายแพงเลย ก็สามารถมีผิวสวยเป๊ะปังได้เช่นกัน ดังนั้นชอยซ์ขอแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด เพื่อความสวยได้อย่างคุ้มค่า คุ้มราคามากที่สุด
อ้างอิง
ความคิดเห็น