มาทำความเข้าใจเรื่องครีมกันแดดกันแบบง่ายๆ กันดีกว่า ครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญมากในการปกป้องผิวของเราจากรังสี UV ที่แสบร้อน ซึ่งถ้าเราไม่ป้องกัน ก็จะทำให้ผิวเสื่อมเร็ว เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วยนะ!
SPF คือค่าที่บอกประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB ซึ่งเป็นรังสีที่ทำให้ผิวไหม้แดดและผิวคล้ำ
ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์จะมีค่า SPF 50 หรือ 50+ อยู่แล้ว แต่อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะเราต้องดูค่า PA ด้วยนะ!
PA บอกประสิทธิภาพการป้องกันรังสี UVA ซึ่งเป็นรังสีที่แทรกซึมลึกลงไปในผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอย ฝ้า และความหมองคล้ำ
คือยิ่งมีเครื่องหมาย + เยอะ ก็ยิ่งปกป้องได้ดี! เช่น ถ้าครีมกันแดดมีค่า PPD เท่ากับ 10 แสดงว่าครีมนั้นช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้นานกว่าผิวที่ไม่ได้ทาครีมถึง 10 เท่า และจะติดฉลาก PA+++ บนผลิตภัณฑ์
ค่า PPD (Persistent Pigment Darkening) เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เลยค่ะ! มาทำความเข้าใจกันให้ลึกซึ้งกว่าเดิมนะคะ
PPD เป็นการวัดประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการปกป้องผิวจากรังสี UVA โดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากค่า SPF ที่วัดการป้องกันรังสี UVB เป็นหลัก
การทดสอบค่า PPD ทำโดยการฉายรังสี UVA บนผิวที่ทาครีมกันแดด แล้ววัดว่าผิวเกิดการคล้ำช้าแบบถาวร (Persistent Pigment Darkening) มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับผิวที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด
รังสี UVA เป็นรังสีที่อันตรายมากๆ เพราะ:
ถ้าอยู่แต่ในบ้าน ไม่ค่อยโดนแดด และไม่โดนหน้าต่าง สามารถใช้แบบเบาบาง ไม่เหนียวเหนอะหนะได้
ถ้าต้องเจอแดดจัด หรืออยู่กลางแจ้งนานๆ ต้องใช้แบบที่กันน้ำ กันเหงื่อได้ดี เกาะผิวแน่น SPF PPD สูงๆ และควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงจะดีมากๆ
การใช้ครีมกันแดดที่ดีที่สุด คือ ต้องหยิบมาทา และแนะนำว่าทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่ออยู่กลางแจ้ง
วิธีปกป้องผิวจากแดดที่ดีที่สุด คือ ใช้ครีมกันแดด + สวมหมวก + ใส่เสื้อคลุมปกปิดผิว
เป็นไงบ้างคะ? หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจเรื่องครีมกันแดดมากขึ้นนะคะ! การเลือกครีมกันแดดที่ใช่ และทาอย่างถูกวิธี จะช่วยปกป้องผิวของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวแข็งแรง อ่อนเยาว์ และสุขภาพดีในระยะยาวค่ะ
ความคิดเห็น